ใบความรู้เรื่อง วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม (โยนิโสมนสิการ)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้อธิบายความหมายของโยนิโสมนสิการไว้ว่า โยนิโสมนสิการ คือ การคิดอย่างถูกวิธี คิดอย่างมีระเบียบ คิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างปัญญาที่บริสุทธิ์ เป็นอิสระ ทำให้ทุกคนช่วยตนเองได้ และนำไปสู่จุดหมายของพุทธธรรมอย่างแท้จริง (พระพรหมคุณาภรณ์. 2546 : 669-676)
ความหมายของวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ
ความสำคัญ
วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ เป็นวิธีคิดที่มีจุดมุ่งหมายที่จะสกัดหรือกำจัดอวิชชา (ความไม่รู้) และบรรเทาตัณหา (ความอยาก) โดยตรง กล่าวคือ ผู้ที่รู้จักคิดแบบโยนิโสมนสิการย่อมจะมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เป็นผู้ที่คิดเป็น คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งจะเป็นทางที่เข้าถึงความจริงทั้งหลาย ทำให้รู้จักใช้สิ่งทั้งหลายให้เป็นประโยชน์ ถ้าบุคคลทุกคนคิดเป็นก็ย่อมคิดในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ปล่อยใจให้หลงใหลเพลิดเพลินในวัฒนธรรมจากภายนอกที่หลั่งไหลเข้ามา ซึ่งในสภาพการณ์ปัจจุบัน มีการพัฒนาเทคโนโลยีในทุกด้าน ตลอดทั้งเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ความเจริญทางด้านวัตถุเป็นสิ่งเร้ายั่วยุ ให้คนหลงใหลไปกับความยั่วยวนต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ถ้าบุคคลคิดเป็นก็ย่อมเกิดปัญญา ไม่ปล่อยใจให้เพลิดเพลินหลงใหลในความสำเร็จต่างๆ ในโลกสมมุติ กับเห็นคุณและโทษของมัน มีปัญญาในการสลัด สิ่งไม่ดีออกไป อีกทั้งรู้จักคิดที่จะดำรงชีวิตให้ตั้งอยู่ในทิศทางที่เหมาะสม ส่งผลต่อความสุขสงบของชีวิต และถ้าทุกคนในสังคมยึดถือแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการ ก็ย่อมส่งผลต่อความสงบสุข ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมตลอดไป
องค์ประกอบ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ประมวลวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการออกเป็น 10 วิธี ดังนี้
(พระพรหมคุณาภรณ์. 2546 : 676-727)
1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย
2. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ
3. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ หรือวิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา
4. วิธีคิดแบบอริยสัจจ์ หรือวิธีคิดแบบแก้ปัญหา 5. วิธีคิดตามหลักการและความมุ่งหมาย หรือวิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์
6. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก
7. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม
8. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม หรือวิธีคิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม (แบบกุศลภาวนา)
9. วิธีคิดแบบเป็นอยู่กับปัจจุบัน
10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท หรือวิธีคิดแล้วแสดงออกเป็นวิภัชชวาท (พูดจำแนก)แนวทางการฝึกคิดแบบโยนิโสมนสิการ
ในการฝึกแบบโยนิโสมนสิการทั้ง 10 วิธีนั้น ครูผู้สอนสามารถฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดได้หลายลักษณะ เช่น จากการยกตัวอย่างประกอบ การวิเคราะห์จากภาพ จากนิทาน จากเหตุการณ์ในปัจจุบัน ฯลฯ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย คือ พิจารณาเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เป็นผล กล่าวคือ การพิจาณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำต่างๆ แล้วสืบค้น สืบสาวไปถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น อาจทำโดยการหาความสัมพันธ์ หรือการตั้งคำถามแล้วหาคำตอบ เมื่อหาคำตอบที่แท้จริงแล้วย่อมสามารถสืบสาวไปถึงวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ให้รู้จักสภาวะที่เป็นจริง หรือพิจารณาปัญหา หาหนทางแก้ไข ด้วยการค้นหาสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์ส่งผลสืบทอดกันมา
ตัวอย่างคำถามที่ฝึกให้คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย
ทำไมนักเรียนจึงขีดฝาผนังห้องเรียน " เพราะสนุกที่ได้ขีดเขียน
ทำไมจึงมีความสนุกต่อการขีดเขียน " เพราะได้ทำตามใจตนเอง
ทำไมนักเรียนจึงทำอะไรตามใจตนเอง " เพราะไม่มีระเบียบวินัย
ทำไมนักเรียนจึงไม่มีระเบียบวินัย " เพราะไม่เห็นความสำคัญของระเบียบวินัย
ทำไมนักเรียนจึงไม่เห็นความสำคัญของระเบียบวินัย " เพราะไม่มีผู้ชี้นำ
เมื่อสืบสาวไปพบสาเหตุที่แท้จริงแล้วก็ต้องแก้ไขปัญหาที่สาเหตุ คือ
ต้องมีผู้ชี้นำสร้างความตระหนักแก่นักเรียนเพื่อให้เห็นความสำคัญของการมีระเบียบวินัย
· เพราะครูชี้นำด้วยการจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักแก่นักเรียนเพื่อให้เห็นความสำคัญของการมีระเบียบวินัย " นักเรียนก็จะเห็นความสำคัญของการมีระเบียบวินัย
· เพราะนักเรียนเห็นความสำคัญของการมีระเบียบวินัย " นักเรียนจึงไม่ทำอะไรตามใจตนเอง
· เพราะนักเรียนไม่ทำอะไรตามใจตนเอง " นักเรียนจึงไม่ขีดเขียนฝาผนังห้องเรียน
·เพราะนักเรียนไม่ขีดเขียนฝาผนังห้องเรียน " จึงไม่มีรอยขีดเขียนสกปรกบนฝาผนังห้องเรียน การแก้ปัญหาเมื่อมีรอยขีดเขียนฝาผนังห้องเรียนนั้นจะต้องสืบสาว
ไปหาสาเหตุที่แท้จริง แล้วแก้ปัญหาที่สาเหตุ เมื่อแก้ปัญหาได้แล้ว
คือ ผลการคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย
2. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ หรือกระจายเนื้อหา เป็นการคิดที่มุ่งให้มองและให้รู้จักสิ่งทั้งหลายตามสภาวะของมันเองอีกแบบหนึ่ง ในทางธรรมมักใช้พิจารณาเพื่อให้เห็นความไม่มีแก่นสาร หรือความไม่เป็นตัวไม่เป็นตนที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลาย
วิธีคิดแบบนี้จะฝึกให้คิดแบบแยกแยะองค์รวมของสิ่งต่างๆ และยังมีการคิดวิเคราะห์จัดประเภทหมวดหมู่ขององค์ประกอบนั้น กล่าวคือ เมื่อแยกแยะส่วนประกอบออกก็เห็นภาวะที่องค์ประกอบเหล่านั้นอาศัยกันและขึ้นต่อเหตุปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่เป็นตัวของมันเองโดยแท้จริง ยิ่งกว่านั้น องค์ประกอบและเหตุปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นล้วนเป็นไปตามกฎธรรมดา มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่เที่ยงแท้ ไม่คงที่ ไม่ยั่งยืน ซึ่งการคิดแบบนี้จะทำให้เห็นความไม่มีแก่นสารหรือความไม่เป็นตัวตนที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายให้หาย ยึดติดถือมั่นในสมมุติบัญญัติ
3. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ หรือวิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา คือ มองอย่างรู้เท่าทันความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ ตามธรรมดาของมันเอง ในฐานะที่มันเป็นสิ่งซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆ ปรุงแต่งขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะต้องดับไป ไม่เที่ยงแท้ ไม่คงที่ ไม่ยั่งยืน ไม่คงอยู่ตลอดไป เป็นอนิจจัง
ผู้ที่สามารถคิดแบบสามัญลักษณ์ได้ มักเป็นผู้ที่มีสติ ไม่วู่วาม มองทุกสิ่งว่าเมื่อเกิดขึ้นได้ ก็เปลี่ยนแปลงได้ ดับสูญได้ ไม่มีใครจะครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างได้ตลอดไป บุคคลที่คิดเช่นนี้จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ
4. วิธีคิดแบบอริยสัจจ์ หรือวิธีคิดแบบแก้ปัญหา มีลักษณะ 2 ประการ คือ
1) คิดตามเหตุและผล หรือเป็นไปตามเหตุและผล สืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไขที่ต้นเหตุ
2) ต้องกำหนดรู้ และทำความเข้าใจปัญหาให้ชัดเจน แล้วคิดแก้ไขสาเหตุของปัญหาให้ตรงจุด ตรงเรื่อง ตรงความมุ่งหมาย ไม่ฟุ้งซ่านออกไปเรื่องอื่น และต้องเป็นการแก้ไขที่ปฏิบัติได้จริง1) คิดตามเหตุและผล หรือเป็นไปตามเหตุและผล สืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไขที่ต้นเหตุ
5. วิธีคิดตามหลักการและความมุ่งหมาย หรือวิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ คือ พิจารณาให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างธรรมกับอรรถ หรือหลักการกับความมุ่งหมาย เมื่อจะลงมือปฏิบัติธรรมหรือทำการตามหลักการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ได้ผลตรงตามความมุ่งหมาย ไม่เป็นการกระทำที่เคลื่อนคลาด เลื่อนลอย หรืองมงาย
6. วิธีคิดแบบคุณ โทษ และทางออก เป็นการมองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง เน้นการยอมรับความจริงตามที่สิ่งนั้นๆ เป็นอยู่ทุกแง่ทุกด้าน ทั้งด้านดี (เป็นคุณ) ด้านเสีย (เป็นโทษ) เมื่อมองเห็นทั้งด้านดีด้านเสียแล้ว ทางออกคืออะไร หรือเป็นอย่างไร
7. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม เป็นวิธีคิดแบบสกัดหรือบรรเทาตัณหา เป็นขั้นฝึกหัดขัดเกลากิเลสหรือตัดทางไม่ให้กิเลสเข้ามาครอบงำจิตใจแล้วชักจูงพฤติกรรมต่อๆ ไป
คนที่มีวิธีคิดแบบคุณค่าแท้ มักเป็นคนใช้ปัญญาพิจารณาอย่างรอบคอบ สามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง
8. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม หรือวิธีคิดแบบเร้าคุณธรรม (แบบกุศลภาวนา) เป็นวิธีคิดที่รู้จักนำเอาประสบการณ์ที่ผ่านมาคิดปรุงแต่งไปในทางที่ดีงาม เป็นประโยชน์ เป็นกุศล เป็นวิธีคิดในแนวสกัดกั้นหรือบรรเทาและขัดเกลาตัณหา เป็นข้อปฏิบัติระดับต้นๆ สำหรับส่งเสริมความเจริญงอกงามแห่งกุศลธรรม การคิดในทางที่เป็นกุศล จะช่วยให้บุคคลเกิดกำลังใจที่จะทำงานตามหน้าที่ ทำความดีที่เกิดประโยชน์อยู่เสมอ ส่งผลต่อการแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมในการสร้างสรรค์
9. วิธีคิดแบบเป็นอยู่กับปัจจุบัน ความคิดชนิดที่อยู่กับปัจจุบัน เป็นการคิดในแนวทางความรู้หรือคิดด้วยอำนาจปัญญา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นอยู่ในขณะนี้ หรือเป็นเรื่องผ่านไปแล้ว หรือเป็นเรื่องของกาลภายภาคหน้า ก็จัดเข้าในการเป็นอยู่กับปัจจุบันทั้งนั้น
10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท หรือวิธีคิดแล้วแสดงออกเป็นวิภัชชวาท (พูดจำแนก)
วิภัชชวาทไม่ใช่วิธีคิดโดยตรง แต่เป็นวิธีพูดหรือแสดงหลักการแห่งคำสอนแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามการคิดกับการพูดเป็นกรรมที่ใกล้ชิดกันที่สุด ก่อนที่จะพูดก็ต้องคิดก่อน สิ่งที่พูดล้วนสำเร็จมาจากความคิดทั้งสิ้น วิธีคิดแบบวิภัชชวาทเป็นวิธีคิดวิเคราะห์ในลักษณะต่างๆ ต่อไปนี้
1) จำแนกสภาวะต่างๆ ออกเป็นด้านๆ ตามที่เป็นอยู่จริง แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
(1) จำแนกไปทีละด้าน ทีละประเด็น
(2) จำแนกทีละด้านจนครบทุกประเด็น แล้วจึงจำแนกด้านอื่นต่อไป
ตัวอย่างเช่น เราจะเลือก ส.ส.สังกัดพรรคการเมืองใดมาเป็นผู้แทน ก็ต้องคิดจำแนกรายละเอียดของข้อมูลเกี่ยวกับพรรคที่เขาสังกัดนั้นในแต่ละด้าน เช่น ระเบียบวินัย ความซื่อสัตย์ ผลงานที่ปรากฏ เป็นต้น แล้วจึงตัดสินใจเลือก
สรุปได้ว่า วิธีคิดตามหลักพุทธธรรมหรือวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ จัดได้ว่าเป็นการคิดที่ใช้ปัญญาและทำให้ปัญญาเจริญงอกงามยิ่งขึ้น นำไปสู่การแก้ปัญหา เป็นทางแห่งความดับทุกข์และทำให้เกิดการศึกษาต่อไป นับได้ว่าเป็นการใช้ความคิดอย่างถูกวิธี เป็นส่วนสำคัญของการศึกษาหรือพัฒนาตนในด้านการพัฒนาปัญญา ทำให้สามารถดำเนินชีวิตไปในทางที่ดีงามและพึ่งพาตนเองได้
ดังนั้นครูผู้สอนควรจัดการเรียนการสอนที่จะส่งเสริมกระตุ้นเร้าให้นักเรียนได้ฝึกฝนวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการอยู่เสมอ ซึ่งสามารถฝึกให้นักเรียนได้บูรณาการ วิธีคิดหลายๆ แบบของโยนิโสมนสิการเชื่อมโยงเข้าไปด้วยกันได้ ทำให้นักเรียนรู้จักคิดอย่างมีระเบียบ มีสติสัมปชัญญะ มองทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง รู้จักค้นหาความจริงก่อนที่จะตัดสินใจบนพื้นฐานของความคิดที่ถูกต้อง ด้วยวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ และเมื่อคิดถูกก็ย่อมตัดสินใจกระทำการที่ถูกต้องได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
ที่มา : สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ. พัฒนาทักษะการคิด...พิชิตการสอน : กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง, 2550.
Las Vegas Hotel And Casino - JTM Hub
ตอบลบFind out 광주광역 출장안마 what to 제주도 출장마사지 expect at the iconic property 안성 출장마사지 and other popular attractions on The Strip. Book 강릉 출장안마 your stay today. Amenities Include:. 구리 출장샵 Hotel Room Windows.